วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คนตาบอดสีก็มีความสุขเพราะสีได้

ตั้งใจว่าจะอัปเดทบล๊อคทุกวันอาทิตย์
แต่บังเอิญสัปดาห์นี้ มีเรื่องอยากเขียนอยู่สองเรื่อง
จึงเกิดบทแทรกขึ้นมาในวันพระเช่นนี้ได้

ความเรียงก่อนหน้านี้ เรื่อง "ชอบถนัด"
น้องๆเข้ามาคอมเมนส์ให้เยอะแยะ
บางคนเริ่มพูดถึงสมการหรืออสมการของความสุข
ดีครับ..นี้เป็นปรากฎการณ์ที่ดีแล้ว
แม้ว่า..สมการของต่างคนอาจจะต่างกันไป
แต่ผลลัพท์ที่คาดหวังคงไม่ต่างกัน
เหมือนประโยคหนึ่ง..ซึ่งผมสรุปได้จากประสบการณ์..
ในห้องเรียนวิชา Hardware Lab ว่า..

“Different ways, same result”

หลายคนเมื่อได้รู้ว่า..ผมเป็นคนตาบอดสี
จะมีการทดสอบโดยประโยคนี้ทันทีทันใด..
“สีนั้นสีอะไรครับ สีนี้สีอะไรครับ"
แล้วเขาก็ทำหน้าผิดหวังที่ผมตอบถูก ฮ่าาา

หลายคนที่ไม่ทดสอบ เขาจะทำหน้าเศร้า
คงรู้สึกสลดที่ผมเกิดมา..อาภัพการรับรู้ความสวยงามทางด้านสี
เขาคงคิดว่า..ภาพที่ผมมองเห็น คงเหมือนภาพในทีวีขาวดำ
ไม่ผิดครับที่เขาจะคิดเช่นนั้น..เพราะชื่อโรคนี้มันชื่อว่าโรค "ตาบอดสี"

แต่จริงๆแล้ว คนตาบอดสี คือคนที่เซลล์โคน(Cone) ซึ่งเป็นเซลล์รับสีในสายตาทำงานผิดปกติ ไม่ได้ไม่มีเซลล์นี้ซะเลย แค่รับสีผิดปกติเท่านั้นเอง ดังนั้นไม่ได้หมายความว่าผมจะมองไม่เห็นสี แต่ผมแค่แยกแยะสีที่ใกล้เคียงกันไม่ได้เท่านั้นเอง (อันนี้ได้มาจากการเรียนวิชา Human Information หลายคนบ่นว่า เรียนวิชานี้เหมือนกับลงเรียนแพทย์ แต่น้องบางคนเขาก็ชอบถนัดด้านนี้นะ เพราะน้องเขาชอบสีขาว ฮ่าาา)



และสีหนึ่งที่ผมเห็นชัด แล้วรู้สึกมีพลังและความสุขเมื่อได้มอง คือสีเขียว
(โปรดอย่าเรื่องสีของผมไปโยงกับการเมืองนะ บล๊อคนี้ปลอดเรื่องการแบ่งแยก)


จากแรงผลักดัน..ที่อยากหาหอถูกๆและสงบๆ
ทุกวันนี้ผมจึงได้มาอยู่กลางทุ่งนาแห่งหนึ่งในจังหวัดปทุมธานี

ช่วงนี้เริ่มเข้าฤดูฝน ภาพหนึ่งที่เห็นในสถานที่เปลี่ยวสันโดษแห่งนี้
บ่งบอก..ให้ผมรู้ว่าประเทศนี้มันช่างสวยงามเหลือเกิน..

ภาพนั้นช่วยสลัดความง่วงหาวยามเช้าสู่ความแจ่มใสสดชื่นและคึกคักอย่างไม่มีคำบรรยาย

ภาพที่ทำให้ชีวิตในทุกๆเช้าของผมเหมือนได้รับพลังเหนือธรรมชาติ..ก่อนออกผจญโลกข้างนอกต่อไป
มันช่างเป็นภาพที่ให้ความสุขจิ๊งจริง...

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชอบถนัด

ต้องขอบคุณน้องๆที่สละเวลามาคอมเม้นให้บันทึกแห่งความสุขอันก่อน
ทุกคำตอบรับ ไม่ว่าจะด่า หรือชม หรือการแบ่งปันความคิด มีค่าเสมอ

มีคำพูดว่า การได้ทำสิ่งที่ชอบคือความสุข
ผมก็เชื่ออย่างนั้น แต่ที่เชื่อกว่านั้นคือ...
การได้ทำสิ่งที่ชอบและถนัดจะมีความสุขยิ่งกว่า

เมื่อก่อนตอนเป็นลูกจ้างเขา
ก็คิดว่า..เป็นผู้ประกอบการคงมีความสุขมากมาย
จึงลาออกจากงาน ไปลุยมันเต็มที่ แต่ไปไม่รอด
มานั่งพิจารณา รวมทั้งให้ผู้เชี่ยวชาญวิจารณ์
พบหลายข้อของความผิดพลาด
และข้อที่ร้ายกาจที่สุดคือ..ตัวเองไม่มีความถนัด
ถ้าจะสร้างความถนัดนี้ คงต้องฝึกฝนพร้อมต้นทุนที่เสียไปอีกบาน

ต้องกลับมาเป็นลูกจ้างอีกครั้ง
และแน่นอน ไม่มีความสุข ไม่อยากเป็น ไม่อยากทำ
แม้ตำแหน่งและหน้าที่จะดูดีขึ้นก็ตามเถอะ

แล้วในวันหนึ่ง..เมื่อได้ยินแม่พูด
"เรื่องอื่นแม่ไม่รู้ แต่ถ้าเป็นเรื่องวิชาการแล้ว ลูกบ่าวของแม่ไม่แพ้ใคร"
(ลูกบ่าว เป็น คำเรียกลูกชายคนโตของชาวปักษ์ใต้)

ใครพูด..จะดูไม่ซึ้งและไม่ได้คิด..เท่ากับการที่พระมารดาพูดให้ฟัง
แม้ว่า..ตอนวัยรุ่นจะไม่ค่อยอยากนัก แต่พอโตขึ้น ไม่รู้ทำไม...
อยากให้ท่านสั่ง อยากให้ท่านสอน อยากให้ท่านตัก อยากให้ท่านเตือน

ไม่ว่าครั้งนั้น แม่จะพูดยกยอให้ลูกชื่นใจ หรืออะไรก็ตามแต่
ประโยคนั้นทำให้ตระหนักนึก ตรึกตรอง และรู้ว่า..
ความถนัดที่ติดตัวมานานแสนนานของตัวเองคืออะไร
ทำให้ต้องเอารายการที่ตัวเองชอบ ที่อยากเป็น ที่อยากทำ
มาลองจับคู่ตุนาหงันเข้ากับสิ่งที่ตัวเองถนัด

การตัดสินใจลาออกอีกครั้ง จึงได้เกิดขึ้น

สัปดาห์ที่ผ่านมา...
ดัชนีความสุขของตัวเองขึ้นลงผันผวน อย่างกับดัชนีหุ้นในภาวะตลาดปั่นป่วน
ข่าวดีมากระทบก็พุ่งปรู๊ด ข่าวร้ายเข้ามาก็ร่วงพราว
โชคยังดี ที่หุ้นชีวิตตัวนี้มีปัจจัยพื้นฐานที่ไม่เลวร้ายนัก
จึงถือว่า..ดัชนีความสุขของผมยังชนะดัชนีเฉลี่ยของตลาดมาได้
..แม้ในช่วงเวลาที่ยากเย็น

ถ้าจะบอกว่า ปัจจัยพื้นฐานของความสุขนั้น ผมได้มาจาก..
การได้ทำงานวิจัยในวันจันทร์-ศุกร์
งานเป็นติวเตอร์ให้น้องๆที่น่ารักในวันเสาร์-อาทิตย์
และการแบ่งบันเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ..ผ่านการเขียนอย่างนี้

ถ้าผมจะพูดอย่างนั้น..คงไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงมากนัก

คงเพราะว่า..
ผมกำลังทำสิ่งที่ "ชอบถนัด" อยู่นั้นเอง

-----------------------------------------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

บันทึกแห่งความสุข

ท่ามกลางสงครามกลางเมือง ใครจะมีจิตใจหาความสุขกันได้อีกนะ..

บางท่านกล่าวว่า...
ความสุข หากเรามองหาก็จะเจอมันได้ทุกที่แม้ว่าจะอยู่ในแห่งหนอันมีแต่ทุกข์รายล้อม

แต่ก็มีบางท่านกล่าวโต้ว่า..
เราจะหาความสุขได้อย่างไรกัน หากคนรอบข้างยังจมอยู่กับความทุกข์เช่นนั้นเล่า

ก็กล่าวกันไป...

เรื่องความสุขนี้นักปราชญ์บางท่านเอามาทะเลาะถกเถียงกันจนกลายเป็นความทุกข์ไปเสียนิ...ก็มีให้เห็น

เมื่อมีข้อโต้เถียงไม่รู้จบ บล๊อกนี้จึงได้เกิดขึ้นในวู่บหนึ่งของความคิด
เป็นการทดลองภายในสมมุติฐานว่า..
คนเราจะมองหาความสุขท่ามกลางความวุ่นวายของชีวิตได้หรือไม่???
แล้วค่อยมาดูสิว่าความสุขที่เราหาได้นั้น.. หากเราเอามันมาแบ่งปัน
จะไปเปลี่ยนความทุกข์ของคนรอบข้างให้เป็นความสุขได้มากน้อยอย่างไรแค่ไหนกัน 

การจะทำอะไรแล้ว ก็คงต้องเริ่มที่ตัวเองก่อนเสมอ เหตุเพราะ...
ใครจะไปเชื่อที่เราพูด หากเราเองก็ยังไม่สามารถทำอะไรอย่างที่เราพูดเลย

การทดลองจึงเริ่มที่ตัวเอง ทุกสัปดาห์ต่อไปนี้ ความสุขที่ผมสามารถมองเห็นได้จากชีวิตอันวุ่นวิ้นของผมจะถูกบันทึกไว้ในบล๊อกแห่งนี้

ผลจะเป็นยังไง ผมจะมีความสุขมาบันทึกบ้างหรือไม่ แล้วความสุขของผมจะมีผลกระทบกับใครได้บ้าง ติดตามกันต่อไป

วันนี้ถึงตอนจบ..
ขอจบด้วยความเปรยของบล๊อกแห่งนี้ (นี้ก็เป็นความสุข ความสุข หนึ่งของผม ที่ได้สร้างมันขึ้นมา)

"ผมเป็นคนสุขนิยม บล๊อคนี้จึงมีไว้บันทึกความสุข อันความสุขนั้นชอบโผล่มาให้เห็นเช่นวูบหนึ่งของดาวตก แต่สวยงามและคุ้มค่าที่ได้เห็น หากไม่บันทึกความสวยของวูบนั้นเก็บไว้ ก็น่าเสียดาย..."

ณ.วันที่กรุงเทพเมืองฟ้าอมรกำลังมีสงครามกลางเมือง